เทคนิคขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านง่ายในปี 2568: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับคนอยากมีบ้าน

เทคนิคขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านง่ายในปี 2568

การได้เป็นเจ้าของ “บ้าน” ถือเป็นหนึ่งในความฝันและเป้าหมายสูงสุดของหลาย ๆ คน แต่ก่อนที่ฝันนั้นจะกลายเป็นความจริง ก้าวสำคัญที่สุดคือการ “ขอสินเชื่อบ้าน” จากสถาบันการเงินให้ได้รับการอนุมัติ หลายท่านอาจเคยได้ยินเรื่องราวหรือประสบปัญหาถูกปฏิเสธสินเชื่อมาแล้ว ทั้งที่มองว่าตนเองมีรายได้เพียงพอสำหรับการผ่อนชำระ นั่นเป็นเพราะเกณฑ์การพิจารณาของธนาคารไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “ตัวเลขรายได้” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมทางการเงินส่วนบุคคล, ภาระหนี้สินที่มีอยู่, และความน่าเชื่อถือของผู้กู้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารนำมาประกอบการตัดสินใจ

ดังนั้น หากคุณกำลังวางแผนที่จะซื้อบ้านในฝัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม ลองทำตาม เทคนิคขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านง่ายในปี 2568 ที่ Passion Realtor รวบรวมมาให้คุณโดยเฉพาะ เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อ และปูทางให้การผ่อนชำระของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นคงยิ่งขึ้น

8 เทคนิคขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านง่ายในปี 2568 ที่ผู้กู้ทุกคนควรรู้และปฏิบัติ

การเตรียมตัวที่ดีคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการขอสินเชื่อบ้าน มาดูกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่คุณไม่ควรมองข้าม

1. ตรวจสอบและบริหารเครดิตบูโรให้เรียบร้อย (Credit Bureau Check)

เครดิตบูโร (National Credit Bureau) เปรียบเสมือน “สมุดพก” หรือ “ประวัติทางการเงิน” ของคุณ มันคือบันทึกข้อมูลการชำระหนี้ทั้งหมดที่คุณมีกับสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ หรือแม้แต่สินเชื่อบ้าน หากในรายงานเครดิตบูโรของคุณมีการค้างชำระ, ผิดนัดชำระ, หรือติดหนี้เสีย (NPL) ธนาคารจะมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูงในการชำระหนี้ และมีโอกาสสูงมากที่จะถูกปฏิเสธสินเชื่อ

วิธีแก้และเตรียมตัว:

  • ชำระหนี้ที่ค้างให้หมด: หากมีหนี้ค้างชำระ ควรจัดการชำระให้ครบถ้วนโดยเร็วที่สุด
  • เคลียร์ยอดบัตรเครดิตและสินเชื่อให้ตรงเวลา: สร้างประวัติการชำระที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจสอบรายงานเครดิตบูโรล่วงหน้า: ควรตรวจสอบอย่างน้อย 6 เดือนก่อนยื่นกู้ เพื่อให้มีเวลาในการแก้ไขประวัติ หากพบข้อผิดพลาดหรือต้องการปรับปรุงสถานะทางการเงิน คุณสามารถขอรายงานได้จากหลายช่องทาง เช่น ธนาคาร, ที่ทำการไปรษณีย์, หรือผ่านแอปพลิเคชัน (มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย)

2. รักษาอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ให้เหมาะสม

DSR คือตัวเลขสำคัญที่ธนาคารใช้ในการประเมินความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของคุณ เป็นอัตราส่วนของภาระหนี้ทั้งหมดที่คุณต้องผ่อนชำระต่อเดือน เทียบกับรายได้สุทธิของคุณต่อเดือน โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารมักกำหนดว่า DSR ไม่ควรเกิน 40-50% ของรายได้ต่อเดือน หากเกินกว่านี้ โอกาสที่สินเชื่อจะผ่านก็จะลดลงอย่างมาก

  • ตัวอย่าง: หากคุณมีรายได้สุทธิ 40,000 บาทต่อเดือน ภาระหนี้รวมที่คุณควรมีไม่ควรเกิน 16,000 – 20,000 บาท (ที่ DSR 40-50%)
  • เทคนิคปรับลด DSR:
    • ปิดหนี้สินเชื่อที่ไม่จำเป็น: ก่อนยื่นกู้ ควรจัดการปิดหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล, บัตรกดเงินสด หรือบัตรเครดิตบางใบที่มีภาระผ่อนต่อเดือนสูง เพื่อลด DSR ลง
    • ลดภาระผ่อนต่อเดือน: หากทำได้ ลองเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ หรือรีไฟแนนซ์หนี้อื่นๆ เพื่อลดค่างวดรายเดือน

3. เตรียมเอกสารการเงินให้ครบถ้วน ชัดเจน และน่าเชื่อถือ

การเตรียมเอกสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นระเบียบ จะช่วยให้กระบวนการพิจารณาสินเชื่อรวดเร็วขึ้น และสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพราะแสดงถึงความพร้อมของคุณ

  • เอกสารพื้นฐานที่ธนาคารต้องการ (ผู้มีรายได้ประจำ):
    • สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือน: ควรเป็นฉบับจริง หรือ e-slip ที่ออกโดยบริษัท
    • หนังสือรับรองเงินเดือน (Salary Certificate): ระบุตำแหน่ง, รายได้, และระยะเวลาการทำงาน
    • รายการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) ย้อนหลัง 6 เดือน: บัญชีที่รับเงินเดือน ควรมีการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ
    • เอกสารส่วนบุคคล: สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาทะเบียนสมรส/หย่า (ถ้ามี), สำเนาเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  • หากทำธุรกิจส่วนตัว/ฟรีแลนซ์:
    • เอกสารแสดงรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจน ย้อนหลัง 1-2 ปี
    • สำเนาใบแจ้งภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.90/91) ย้อนหลัง 1-3 ปี
    • หนังสือรับรองบริษัท/ห้างหุ้นส่วน หรือทะเบียนพาณิชย์
    • ใบเสร็จรับเงิน/ใบแจ้งหนี้ (Invoices) หรือสัญญาว่าจ้าง (สำหรับฟรีแลนซ์)
    • รายการเดินบัญชีของบริษัทและส่วนตัวย้อนหลัง 6-12 เดือน
  • 💡 เคล็ดลับเพิ่มเติม:
    • รักษาความเคลื่อนไหวในบัญชี: ควรให้บัญชีธนาคารมีการฝาก-ถอนที่สม่ำเสมอ ไม่ควรมีเงินก้อนใหญ่เข้ามาแบบไม่มีที่มาที่ไปในช่วงใกล้จะยื่นกู้ เพราะอาจทำให้ธนาคารตั้งข้อสงสัย
    • หลีกเลี่ยงการรับเงินสดก้อนใหญ่: หากมีการรับเงินสด ควรนำฝากเข้าบัญชีให้เป็นระเบียบ และหากเป็นรายได้เสริม ควรมีหลักฐานประกอบ

4. วางเงินดาวน์ให้มากกว่าขั้นต่ำ: ยิ่งมากยิ่งน่าเชื่อถือ

ธนาคารบางแห่งอาจมีโปรโมชั่นปล่อยกู้ได้สูงสุดถึง 90-100% ของราคาบ้าน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากคุณสามารถวางเงินดาวน์ได้ 20-30% ของราคาบ้าน จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวคุณเองอย่างมาก

  • ข้อดีของการวางเงินดาวน์สูง:
    • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: แสดงให้ธนาคารเห็นว่าคุณมีความพร้อมทางการเงินและมีวินัยในการออม
    • ลดภาระหนี้: วงเงินกู้ลดลง ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง และประหยัดดอกเบี้ยโดยรวม
    • มีโอกาสอนุมัติสูงขึ้น: ธนาคารมองว่าความเสี่ยงของหนี้ลดลง
    • โดยเฉพาะบ้านราคาสูง: การมีเงินดาวน์ที่มากจะยิ่งมีความสำคัญ เพราะมูลค่ากู้ยืมสูง หากมีเงินดาวน์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงความสามารถในการรับผิดชอบ

5. เลือกธนาคารและผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสม: ดอกเบี้ยต่างกัน ชีวิตก็ต่างกัน

การเปรียบเทียบข้อเสนอสินเชื่อจากหลาย ๆ ธนาคารเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถส่งผลต่อยอดผ่อนชำระในระยะยาวได้มหาศาล

  • สิ่งที่ควรพิจารณา:
    • อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคง ไม่ต้องการความผันผวน หรือดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ที่มีโอกาสลดลงตามภาวะตลาด แต่ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ หรือแบบผสมที่รวมข้อดีทั้งสองแบบ
    • แพ็กเกจสินเชื่อ: ศึกษาโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ฟรีค่าประเมินหลักทรัพย์, ยกเว้นค่าธรรมเนียมจัดการ, หรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษในช่วง 1-3 ปีแรก
    • เงื่อนไขและข้อกำหนด: อ่านรายละเอียดให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการไถ่ถอนก่อนกำหนด, ค่าปรับ, หรือข้อจำกัดอื่น ๆ
  • คำแนะนำ: อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือกธนาคารแรกที่ติดต่อมา ลองยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารที่คุณมีบัญชีเงินเดือน หรือมีประวัติการทำธุรกรรมที่ดีอยู่แล้ว เพราะมักจะมีข้อมูลของคุณครบถ้วนและอาจเสนอเงื่อนไขที่ดีกว่า

6. แสดงความมั่นคงทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

นอกจากเอกสารที่เป็นทางการแล้ว การแสดงให้ธนาคารเห็นถึงความมั่นคงทางการเงินผ่านพฤติกรรมของคุณเองก็สำคัญไม่แพ้กัน

  • สร้างวินัยการออม: เก็บออมเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือน แม้จะเป็นจำนวนไม่มาก ก็แสดงถึงวินัยทางการเงินที่ดี
  • หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตเกินวงเงิน: หรือการเป็นหนี้บัตรเครดิตที่จ่ายขั้นต่ำอยู่ตลอดเวลา เพราะบ่งบอกถึงการบริหารจัดการเงินที่ไม่ดี
  • มีเงินออมฉุกเฉิน: ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินในบัญชีอย่างน้อย 3-6 เท่าของรายจ่ายรายเดือน เพื่อแสดงให้ธนาคารเห็นว่าคุณมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การตกงาน หรือการเจ็บป่วย

7. พิจารณาการมีผู้กู้ร่วม (Co-borrower) หากจำเป็น

หากรายได้ของคุณคนเดียวไม่เพียงพอที่จะได้รับวงเงินกู้ตามที่ต้องการ หรือ DSR สูงเกินไป การมีผู้กู้ร่วมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อได้

  • ข้อดีของผู้กู้ร่วม:
    • เพิ่มรายได้รวม: ทำให้ธนาคารพิจารณาจากรายได้รวมของทั้งสองคน ส่งผลให้สามารถขอวงเงินกู้ที่สูงขึ้นได้
    • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: หากผู้กู้ร่วมมีประวัติทางการเงินที่ดี ก็จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับคำขอสินเชื่อของคุณ
  • ข้อควรพิจารณา:
    • ผู้กู้ร่วมต้องมีเครดิตที่ดี: ผู้กู้ร่วมจะต้องมีประวัติเครดิตบูโรที่ดี ไม่มีหนี้เสีย และมี DSR ที่เหมาะสมเช่นกัน
    • ความรับผิดชอบร่วมกัน: ผู้กู้ร่วมทุกคนมีภาระความรับผิดชอบในการชำระหนี้ร่วมกัน

8. วางแผนการเงินล่วงหน้าอย่างรอบคอบ

การวางแผนการเงินที่ดีไม่ใช่แค่การเตรียมตัวก่อนยื่นกู้ แต่ยังรวมถึงการวางแผนระยะยาวหลังได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้วด้วย

  • จัดสรรรายได้และค่าใช้จ่าย: ก่อนยื่นกู้ ควรจัดทำงบประมาณส่วนตัว เพื่อดูว่ารายได้ของคุณเหมาะสมกับภาระผ่อนต่อเดือนหรือไม่
  • คำนวณการผ่อนชำระ: ใช้เครื่องคำนวณสินเชื่อบ้าน (Mortgage Calculator) ของแต่ละธนาคาร เพื่อเปรียบเทียบยอดผ่อนชำระสำหรับระยะเวลาผ่อนที่แตกต่างกัน (เช่น 15 ปี, 20 ปี, 30 ปี) สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพความสามารถในการผ่อนชำระจริง และเลือกแผนที่เหมาะสมที่สุด
  • เผื่อค่าใช้จ่ายแฝง: อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาหลังซื้อบ้าน เช่น ค่าตกแต่ง, ค่าเฟอร์นิเจอร์, ค่าส่วนกลาง, ค่าบำรุงรักษา

การจะได้รับการอนุมัติ สินเชื่อบ้าน ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด หากคุณมีการวางแผนที่ดี, รักษาวินัยทางการเงินอย่างสม่ำเสมอ, และเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร เทคนิคขอสินเชื่อบ้านให้ผ่านง่าย ทั้ง 8 ข้อนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มโอกาสให้คำขอของคุณได้รับการอนุมัติ แต่ยังเป็นการปูพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้การผ่อนบ้านในอนาคตเป็นไปอย่างมั่นคง ไม่เป็นภาระหนักจนเกินไป

จำไว้เสมอว่าบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญในชีวิต การเตรียมตัวอย่างรอบคอบและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณได้ครอบครองบ้านในฝันอย่างมั่นใจและมีความสุข


อ่านบทความเพิ่มเติม คลิก

𝐏𝐫𝐢𝐦𝐨 𝐒𝐞𝐫𝐯𝐢𝐜𝐞 𝐒𝐨𝐥𝐮𝐭𝐢𝐨𝐧𝐬

เป็นผู้นำในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจรและกำกับดูแลกิจการในกลุ่มบริษัทในเครือ ให้พัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาและลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

FocusOnCore OptimizeForSustainableGrowth , 𝐇𝐚𝐩𝐩𝐲 𝐌𝐚𝐤𝐞𝐫

Tel : 02-0810000

Website: https://primo.co.th/

Line : https://lin.ee/Jt3nhkF