แมว 9 ชีวิต คือ อะไร ทำไมแมวมี 9 ชีวิต ? และความเชื่อเกี่ยวกับ แมว 9 ชีวิต วันนี้มาหาคำตอบกัน ได้กระจ่างกันว่า แมวนั้นก็มีชีวิตเดียวเหมือนอย่างเรา แต่มีปัจจัยต่างๆ ทำให้คนหลงเชื่อว่าแมวนั้นมี 9 ชีวิตจริงๆ
แมว 9 ชีวิต คือ ?
สาเหตุที่แมวได้รับการโจษจันว่ามี 9 ชีวิตนั้น มาจากการที่มันสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขับ โดยเฉพาะยามตกลงมาจากที่สูง ซึ่งถ้าเปรียบเป็นคนหรือสัตว์ชนิดอื่นคงขาหักหรือหัวกระแทกพื้นเจ็บหนักไปแล้ว แต่แมวกลับลงมายืนได้อย่างปลอดภัย
กล่าวถึงต้นตไหรับของคำว่าแมว 9 ชีวิตคงมาจากที่ อียิปต์โบราณที่แมวได้รับการบูชาเยี่ยงเทพ เพราะคนอียิปต์เชื่อว่าสุริยเทพ อาตุม-รา ซึ่งเป็นเทพสูงสุดจะแปลงร่างเป็นแมวเมื่อเดินทางไปยมโลก และพระองค์เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเทพองค์อื่นอีกแปดองค์ จึงมีความหมายว่าทรงมี 9 ชีวิตในองค์เดียว
และยังเล่าขานกันว่าเวลา Atum-Ra นั้นเดินทางไปยังเมืองยมโลก Underworld จะไปในรูปของแมว โดยที่จะรวมชีวิตทั้ง 9 ร่างไว้ในร่างของผู้สร้างร่างเดียว 9 in 1 นั่นเองมีบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าบทนึง 400 ปีก่อนคริสตกาลได้กล่าวไว้ว่า O sacred cat Your mouth is the mouth of the god Atum the lord of life who has saved you from all taint หรือแปลได้ว่า โอ้ ท่านแมวศักดิ์สิทธิ์ ปากของท่านคือปากของเทพย์ Atum เจ้าแห่งชีวิตผู้ซึ่งได้ช่วยท่านให้พ้นจากมลทินทั้งปวง ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นที่มาของคำว่า แมว 9 ชีวิต ที่เราได้ยินกัน
นอกจากนี้ ชาวจีนเชื่อว่าเลข 9 เป็นเลขมงคล หรือชาวกรีกโบราณเชื่อว่าเลข 9 เป็นเลขที่มีอำนาจลี้ลับ
แมว 9 ชีวิต มาจากทักษะ มากกว่าความเชื่อ
สิ่งที่ทำให้แมวแลนดิ้งลงพื้นได้อย่างปลอดภัย ไม่ใช่เพราะมันมี 9 ชีวิต แต่เพราะแมวมีทักษะอันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “Cat Righting Reflex” หรือการกลับตัวกลางอากาศ โดยกระดูกสันหลังและกระดูกไหปลาร้าของแมวมีความยืดยุ่นสูงมาก ทำให้บิดตัวได้มากเป็นพิเศษ ไม่ว่ามันจะตกลงมาท่าไหน แมวก็สามารถกลับตัวจัดระเบียบร่างกายกลางอากาศ ทำให้สามารถลงพื้นด้วยท่าทางที่เหมาะที่สุดได้
ขนาดตัวที่เล็ก โครงกระดูกเบา และขนหนานุ่มของมันยังช่วยลดความเร็วในการตก และมันยังสามารถกางขาโก่งตัวเพื่อสร้างแรงฉุด เตรียมรับการกระแทกและทำให้ความเร็วลดลงได้อีก (ความเร็วในการตกของแมวอยู่ที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่ความเร็วในการตกของอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว) เมื่อเท้าแตะพื้นแมวจะย่อตัวเป็นการกระจายแรงไปยังข้อต่างๆ ทั้งหมดนี้ทำให้มันไม่บาดเจ็บเวลาตกจากที่สูง
แม้ว่าแมวจะสามารถจัดระเบียบร่างกาย หมุนตัว หรือตีลังกา ขณะที่พวกมันกำลังตกลงมาจากที่สูงได้ เพื่อรับแรงกระแทกและไม่ให้ร่างกายต้องบาดเจ็บหนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่คนเลี้ยงแมวว่าคงไม่ใช่เรื่องอันตรายเท่าไรนัก หากจะเลี้ยงแมวบนอาคารสูงๆ แต่ความจริงแล้วเป็นความคิดที่ไม่ได้ถูกเสียทีเดียว
แมวตกตึก อันตรายอย่างมาก
เนื่องจาก “แมว” ที่ตกจากที่สูงอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส และเกิดขึ้นได้บ่อยกับประชากรแมวที่อาศัยอยู่บนตึกสูง มีชื่อเรียกว่า “High-Rise Syndrome” ซึ่งหมายถึง อาการบาดเจ็บของแมวที่ตกจากที่สูง ไม่ว่าจะเป็นระเบียงห้อง ต้นไม้ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการกระโดดของพวกมันเอง
รวมไปถึงตกจากที่สูงขณะนอนหลับเมื่อเข้าสู่ช่วงการนอนหลับลึก เพราะบางครั้งพวกมันอาจฝันว่ากำลังไล่หนูหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ทำให้พวกมันเคลื่อนไหวตัวไปมาและตกลงมาจากที่สูงในที่สุด นอกจากนี้เมื่อตื่นขึ้นมาอาจเกิดความสับสนไปจนถึงเสียความสมดุลทางร่างกาย
แม้ว่าแมวหลายตัวจะรอดชีวิตจากการตกตึกสูง แต่ก็ต้องใช้เวลานานในการพักฟื้นร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ ที่สำคัญยังต้องเสียค่ารักษาราคาแพงอีกด้วย ทั้งนี้ อาการจาก High-Rise Syndrome ส่วนมากที่พบจากอุบัติเหตุ “แมวตกตึก” ได้แก่
– กรามหัก
– กะโหลกแตก หรือร้าว
– แขน ขา หรือกระดูกเชิงกรานหัก
– ฟันหัก
– เกิดแผลบริเวณเพดานปาก
– ปอดทะลุ
– กระดูกสันหลังหัก
– กระเพาะปัสสาวะแตก
– การบาดเจ็บของอวัยวะภายในหรือมีเลือดออกในช่องท้อง
สำหรับการรักษาแมวตกจากที่สูงนั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของอาการ เบื้องต้นสัตวแพทย์อาจให้ยาตามอาการ และในกรณีที่แมวบาดเจ็บสาหัสก็จำเป็นจะต้องอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์ และแอดมิดในโรงพยาบาลสัตว์ ไปจนถึงการผ่าตัด
ความเชื่อผิดๆ ที่อันตรายต่อแมว
ความเชื่อผิดๆ ที่ว่า แมวมี 9 ชีวิต ส่งผลให้พวกมันไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที เพราะเจ้าของบางคนเชื่อว่า การที่แมวตกจากที่สูงคือพฤติกรรมปกติของแมว และคงไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากนัก ไม่จำเป็นต้องพาไปหาหมอให้เปลืองเงิน แต่ความจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดและทำให้แมวต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดไปเรื่อยๆ
ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้เรียกว่า “Survivorship Bias” โดย Medium อธิบายความหมายไว้ว่า เป็นข้อผิดพลาดเชิงตรรกะในการตัดสินใจ ที่อาศัยข้อมูลเพียงแค่ส่วนเดียวหรือบางส่วน โดยไม่สนใจว่าเป็นข้อมูลที่ครบถ้วนหรือไม่ เช่น การรับฟังความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณ แต่กลับไม่ได้นำข้อแนะนำใหม่ๆ มาปรับใช้ร่วมด้วย
แม้จะเคยมีการศึกษาในปี 1988 ที่พบว่าแมวตกตึกมีโอกาสรอดชีวิต แต่ต่อมาในปี 1996 คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ The Straight Dope ก็ได้อธิบายว่า จากปรากฏการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อยมากที่เจ้าของจะพาแมวตกตึกเหล่านั้นไปหาหมอ จากความเชื่อที่ว่าพวกมันคงไม่เป็นอะไรมาก (หากไม่เห็นว่ามันเจ็บหนักจริงๆ)
ท้ายที่สุดแล้วเราไม่ควรไปคิดแทนแมวว่าพวกมันได้รับผลกระทบจากการตกตึกมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วควรรีบพาแมวไปหาหมอเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังตามมา นอกจากนี้ทาสแมวคนไหนที่เลี้ยงแมวบนตึกสูง จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับแมวให้มากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งหากหน้าต่างปิดไม่สนิทพวกมันก็มีโอกาสกระโดดออกไปเมื่อเห็นสิ่งล่อตาล่อใจ หรือแมวบางตัวแค่ได้ยินเสียงดังก็ตกใจจนหนีออกไปทางระเบียงได้เช่นกัน
ในเมื่อ “แมว” ไม่สามารถอธิบายความเจ็บปวดออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนคน ดังนั้น เจ้าของจึงไม่ควรคิดแทนพวกมันว่าเมื่อตกลงมาจากที่สูงก็คงไม่เป็นอะไร แต่ในทางกลับกัน เจ้าของควรดูแลเอาใจใส่พวกมันให้มากขึ้นและระวังไม่ให้แมวเสี่ยงตกจากที่สูงน่าจะดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรุงเทพธุรกิจ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก
𝐏𝐫𝐢𝐦𝐨 𝐒𝐞𝐫𝐯𝐢𝐜𝐞 𝐒𝐨𝐥𝐮𝐭𝐢𝐨𝐧𝐬
เป็นผู้นำในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจรและกำกับดูแลกิจการในกลุ่มบริษัทในเครือ ให้พัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาและลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
𝐒𝐮𝐩𝐞𝐫 𝐋𝐢𝐯𝐢𝐧𝐠 𝐒𝐞𝐫𝐯𝐢𝐜𝐞𝐬, 𝐇𝐚𝐩𝐩𝐲 𝐌𝐚𝐤𝐞𝐫
Tel : 02-0810000
Website: https://primo.co.th/
Line : https://lin.ee/Jt3nhkF